วันศุกร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2560

ความหมายของการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์
          การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์   คือ   การพัฒนาความเจริญก้าวหน้าในวิทยาการของโลกตะวันตก   ในคริสต์ศตวรรษที่ 17 มีการค้นคว้าแสวงหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับธรรมชาติโลกและจักรวาล   ทำให้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์เจริญรุ่งเรือง   เป็นผลให้ชาติตะวันตกพัฒนาความเจริญก้าวหน้าในด้านต่าง   ๆ   อย่างรวดเร็ว
          
ปัจจัยที่ก่อให้เกิดการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์
          1. การฟื้นฟูศิลปวิทยาการ   ทำให้มนุษย์เชื่อมั่นในความสามารถของตน มีอิสระทางความคิด หลุดพ้นจากอิทธิพลการครอบงำของคริสต์จักร   และมุ่งมั่นที่จะเอาชนะธรรมชาติเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต   และความเป็นอยู่ของตนให้ดีขึ้น
          2. การพัฒนาเทคโนโลยีในดินแดนเยอรมันตอนใต้   โดยเฉพาะการประดิษฐ์เครื่องพิมพ์แบบใช้วิธีเรียงตัวอักษรขอกูเตนเบิร์ก   ในปี   ค . ศ . 1448 ทำให้สามารถพิมพ์หนังสือเผยแพร่ความรู้ต่าง   ๆ   ได้อย่างกว้างขวาง
          3. การสำรวจทางทะเลและการติดต่อกับโลกตะวันออก   ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษ ที่ 16 เป็นต้นมาทำให้อารยธรรมความรู้ต่าง   ๆ   จากจีน   อินเดีย   อาหรับ   และเปอร์เชีย   เผยแพร่เข้ามาในสังคมตะวันตกมากขึ้น
         
 ความสำคัญของการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์
          1. ทำให้มนุษย์เชื่อมั่นในสติปัญญาและความสามารถของตน เชื่อมั่นในความมีเหตุผล และนำไปสู่การแสวงหาความรู้โดยไม่มีสิ้นสุด
          2. ก่อให้เกิดความรู้และความเจริญก้าวหน้าในวิทยาการด้านต่าง   ๆ   และทำให้วิทยาศาสตร์กลายเป็นศาสตร์ที่มีความสำคัญ   โดยเน้นศึกษาเรื่องราวของธรรมชาติ
          3. ทำให้เกิดการค้นคว้าทดลองและแสวงหาความรู้ด้านต่าง   ๆ   ซึ่งนำไปสู่การประดิษฐ์คิดค้นสิ่งใหม่   ๆ   อย่างต่อเนื่อง   และเป็นพื้นฐานของการปฏิวัติอุตสาหกรรมในสมัยต่อมา
          4. ทำให้ชาวตะวันตกมีทัศนคติเป็นนักคิด   ชอบสังเกต   ชอบซักถาม   ชอบค้นคว้าทดลอง   เพื่อหาคำตอบ   และนำความรู้ที่ได้รับไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิต
         
 การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์ในยุคเริ่มต้น
          การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์ในยุคเริ่มต้น   เป็นการค้นพบความรู้ทางดาราศาสตร์ ทำให้เกิดคำอธิบายเกี่ยวกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติต่าง   ๆ   ซึ่งเป็นการท้าทายความเชื่อดั้งเดิมของคริสต์ศาสนา   สรุปได้ดังนี้
          1. การค้นพบทฤษฎีระบบสุริยะจักรวาลของนิโคลัส ( Nicholaus Copernicus ) ชาวโปแลนด์   ในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 สาระสำคัญ   คือ   ดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของจักรวาล   โดยมีโลกและดาวเคราะห์ดวงอื่น   ๆ   โคจรโดยรอบ ทฤษฎีของโคเปอร์นิคัสขัดแย้งกับหลักความเชื่อของคริสต์จักรอย่างมากที่เชื่อว่าโลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล   แม้จะถูกประณามอย่างรุนแรง   แต่ถือว่าความคิดของโคเปอร์นิคัสเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์   ทำให้ชาวตะวันตกให้ความสนในเรื่องราวลี้ลับของธรรมชาติ
          2. การประดิษฐ์กล้องโทรทรรศน์ ( Telescope ) ของกาลิเลโอ ( Galileo Galilei ) ชาวอิตาลีในปี   ค . ศ . 1609 ทำให้ความรู้เรื่องระบบสุริยจักรวาลชัดเจนยิ่งขึ้น   เช่น   ได้เห็นจุดดับในดวงอาทิตย์ได้สังเกตการเคลื่อนไหวของดวงดาว   และได้เห็นพื้นขรุขระของดวงจันทร์   เป็นต้น
          3. การค้นพบทฤษฎีการโคจรของดาวเคราะห์   ของโจฮันเนส   เคปเลอร์ ( Johannes Kepler ) ชาวเยอรมัน   ในช่างต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 สรุปได้ว่า   เส้นทางโคจรของดาวเคราะห์รอบดวงอาทิตย์เป็นรูปไข่หรือรูปวงรี   มิใช่เป็นวงกลมตามทฤษฎีขอโคเปอร์นิคัส
          
การเสนอวิธีสร้างความรู้แบบวิทยาศาสตร์
          ในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 17 มีนักคณิตศาสตร์ 2 คน   ได้เสนอแนวความคิดเกี่ยวกับวิธีสร้างความรู้เพื่อการศึกษาค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์   สรุปได้ดังนี้
          1. เรอเนส์   เดส์การ์ตส์ ( Rene Descartes ) ชาวฝรั่งเศส   และเซอร์   ฟรานซิส   เบคอน ( Sir Francis Bacon ) ชาวอังกฤษ   ได้ร่วมกันเสนอหลักการใช้เหตุผล   วิธีการทางคณิตศาสตร์ และการค้นคว้าวิจัยมาใช้ตรวจสอบข้อเท็จจริงและการแสวงหาความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์
          2. ความคิดของเดส์การ์ตส์   เสนอว่าวิชาเรขาคณิตเป็นหลักความจริงสามารถนำไปใช้สืบค้นข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ได้   ซึ่งได้รับความเชื่อถือจากนักวิทยาศาสตร์ในสมัยต่อมาเป็นอย่างมาก
          3. ความคิดของเบคอน   เสนอแนวทางการค้นคว้าวิจัยทางวิทยาศาสตร์   โดยใช้  “ วิธีการทางวิทยาศาสตร์ ”  เป็นเครื่องมือศึกษา   ทำให้วิทยาศาสตร์ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง
          
การจัดตั้งสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ
          1. การเสนอทฤษฏีการศึกษาค้นคว้าด้วย  “ วิธีการทางวิทยาศาสตร์ ” ทำให้เกิดความตื่นตัวในหมู่ปัญญาชนของยุโรป   มีการจัดตั้งสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติขึ้นในประเทศต่าง   ๆ   หลายแห่ง   ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 17เพื่อสนับสนุนงานวิจัย   การประดิษฐ์อุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ต่าง   ๆ   และแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน   ทำให้วิทยาศาสตร์เจริญก้าวหน้าโดยลำดับ
          2. ความร่วมมือระหว่างนักวิทยาศาสตร์กับนักประดิษฐ์นำไปสู่การพัฒนาสิ่งประดิษฐ์ต่าง   ๆ   มากมาย   ความรู้ทางวิทยาศาสตร์จึงเป็นรากฐานของความเจริญ ก้าวหน้าทางเทคโนโลยีด้านต่าง   ๆ   จึงมีผู้กล่าวว่ากรปฏิวัติวิทยาศาสตร์ในคริสต์ ศตวรรษที่ 17 เป็นยุคแห่งอัจฉริยะ ( The Age of Genius ) เพราะมีการค้นพบความรู้ทางวิทยาศาสตร์ใหม่   ๆ   เกิดขึ้นมากมาย
         
 การค้นพบกฎแห่งความโน้มถ่วงของนิวตัน
          1. การค้นพบความรู้หรือทฤษฎีใหม่ของ   เซอร์   ไอแซค   นิวตัน ( Sir Isaac Newton ) นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ   ในตอนปลายคริสต์สตวรรษที่ 17 มี 2 ทฤษฏี   คือ   กฎแรงดึงดูดของจักรวาลและกฎแห่งความโน้มถ่วง
          2. ผลจากการค้นพบทฤษฏีทั้งสองดังกล่าว   ทำให้นักวิทยาศาสตร์สามารถอธิบายได้ว่าเพราะเหตุใดโลกและดาวเคราะห์จึงหมุนรอบดวงอาทิตย์และดวงจันทร์จึงหมุนรอบโลกได้โดยไม่หลุดจากวงโคจร   และสาเหตุที่ทำให้วัตถุต่าง   ๆ   ตกจากที่สูงลงสู่พื้นดินโดยไม่หลุดลอยไปในอวกาศ
          3. ความรู้ที่พบกลายเป็นหลักของวิชากลศาสตร์   ทำให้นักวิทยาศาสตร์เข้าในเรื่องราวของเอกภพสะสาร   พลังงาน   เวลา   และการเคลื่อนตัวของวัตถุในท้องฟ้า   โดยใช้ความรู้และวิธีการทางคณิตศาสตร์ช่วยค้นหาคำตอบ
          
ผลจากการปฏิวัติวิทยาศาสตร์ ในคริสต์ศตวรรษที่ 17
          1. การปฏิวัติวิทยาศาสตร์เป็นสาเหตุผลักดันให้เกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรมในคริสต์ศตวรรษที่ 17 ทำให้ประเทศต่าง   ๆ   ในยุโรปพัฒนาความเจริญก้าวหน้าในด้านการผลิตจนกลายเป็นประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำของโลก
          2. การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์ทำให้เกิด  “ ยุคภูมิธรรม ”  หรือ  “ ยุคแห่งการรู้แจ้ง ”  ทำให้ชาวตะวันตกเชื่อมั่นในเหตุผล   ความสามารถ   และภูมิปัญญาของตนเชื่อมั่นว่าโลกจะก้าวหน้าพัฒนาต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง   มีความมั่นในว่าจะสามารถแสวงหาความรู้ต่อไปไม่มีวันสิ้นสุด   โดยอาศัยเหตุผลและสติปัญญาของตน




      การฟื้นฟูศิลปวิทยาการในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 14-16 ถือว่าเป็นการเริ่มต้นของการปฏิวัติ ทางวิทยาศาสตร์ เนื่องจากเป็นผลมาจากความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติ การแสวงหาความรู้ใหม่ด้วย การสังเกต ทดลอง และการใช้เหตุผล ในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ ศิลปินที่สำคัญต่างๆ ต่างใช้หลัก วิชากายวิภาคศาสตร์ เช่น กล้ามเนื้อและโครงสร้างของมนุษย์มาสร้างสรรค์งานศิลปกรรม ทั้ง งานจิตรกรรมและประติมากรรมที่เน้นสัดส่วนและความงดงามของสรีระของมนุษย์อย่างแท้จริง ความสนใจในเรื่องการเดินเรือทำให้มนุษย์ในยุโรปสมัยกลางคิดประดิษฐ์เครื่องมือสำหรับการ เดินทาง เช่น เลนส์สำหรับกล้องส่องทางไกลและกล้องดูดาว พัฒนาเทคนิคการต่อเรือ เป็นต้น
                                         Image result for ความหมายของการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์
      
จากยุคโบราณถึงยุคกลาง การศึกษาด้านวิทยาศาสตร์และปรัชญาเป็นวิชาแขนงเดียวกัน นอกจากนี้คริสต์ศาสนายังมีอิทธิพลครอบงำความรู้ด้านต่างๆ ในคริสต์ศตวรรษที่ 16 จึงมีการแยกวิชาปรัชญาออกจากวิทยาศาสตร์ ซึ่งในระยะแรกเป็นการศึกษาเกี่ยวกับธรรมชาติ ส่วนปรัชญา เป็นเรื่องการศึกษาความคิด วิธีการศึกษาในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16 ก็เปลี่ยนไปจากเดิมมาก ซึ่ง แต่เดิมเป็นความเชื่อตามศาสนาและเชื่อตามนักปราชญ์โบราณ ในยุคนี้ปัญญาชนได้ใช้วิธีสังเกต คิดประดิษฐ์อุปกรณ์มาช่วยในการสังเกต และใช้การทดลองอย่างมีเหตุผล ทำให้วิทยาศาสตร์ ก้าวหน้ามากขึ้น ช่วยให้การศึกษาคณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์ มีความลึกซึ้งมากกว่าเดิม นอกจากนี้ ยังทำให้เกิดความรู้ด้านอื่นๆ พัฒนาขึ้นด้วย
นักวิทยาศาสตร์และผลงานในช่วงนี้ ได้แก่
112077500
    1.นิโคลัส โคเปอร์นิคัส (NICOLUS COPERNICUS : ค.ศ. 1473-1543) ชาวโปแลนด์ เสนอทฤษฎีว่าดวงอาทิตย์เป็น ศูนย์กลางของจักรวาล โดยมีดาวเคราะห์รวมทั้งโลกหมุนรอบ ดวงอาทิตย์ ทฤษฎีของเขาล้มล้างความเชื่อของคนในสมัย โบราณและสมัยกลางที่ยึดถือข้ดสมมติฐานของอริสโตเติล (ARISTOTLE) และงานเขียนของโตเลมี (PTOLEMY) ที่อธิบายว่า โลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล
220px-Galileo.arp.300pix

2. กาลิเลโอ กาลิเลอิ (GALILEO GALILEI : ค.ศ. 1564- 1642) ชาวอิตาลีได้ประดิษฐ์กล้องโทรทัศน์ เพื่อสังเกตการโคจรรอบ ดวงดาว ทำให้นักดาราศาสตร์ได้รับความรู้เกี่ยวกับจักรวาลและการ เคลื่อนที่ในระบบสุริยจักรวาลตามทฤษฎีของโคเปอร์นิคัส ทฤษฎีของ กาลิเลโอขัดแย้งกับคริสต์ศาสนา ทำให้ถูกลงโทษจากคริสตจักร
Francis-bacon
   3. เซอร์ ฟรานซิส เบคอน (SIR FRANCIS BACON : ค.ศ. 1561-1626) ชาวอังกฤษได้วางรากฐานการศึกษางานด้าน วิทยาศาสตร์ จนในที่สุดทำให้มีการจัดตั้งราชบัณฑิตยสมาคม ที่ เรียกว่า THE ROYAL SOCIETY OF LONDON FOR THE PROMOTION OF NATURAL KNOWLEDGE ขึ้นเพื่อส่งเสริมการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์
images (3)
   4. เรอเน เดส์การ์ส (RENE DESCARTES : ค.ศ. 1596- 1650) ชาวฝรั่งเศสได้เสนอหลักการใช้เหตุผล และการศึกษาค้นคว้า วิจัยในการแสวงหาความรู้และการวิเคราะห์ทางคณิตศาสตร์ว่า สามารถนำมาพิสูจน์และตรวจสอบข้อเท็จจริงได้
Sir-Isaac-newton
   5. เซอร์ ไอแซก นิวตัน (SIR ISAAC NEWTON : ค.ศ. 1642- 1727) ชาวอังกฤษค้นพบกฎแรงดึงดูด (LAW OF UNIVERSAL ATTRACTION) และกฎแห่งความโน้มถ่วง (LAW OF GRAVITY) ซึ่งเป็นผลให้นัก วิทยาศาสตร์อธิบายการโคจรของโลกและดาวเคราะห์ต่างๆ ที่หมุนรอบ ดวงอาทิตย์ได้